หลังจากที่ทางApple ได้ปล่อย iOS 8 มาให้นักพัฒนาได้ทำการทดสอบกันสักพักหนึ่งแล้ว โดยทาง Apple บอกว่า “iOS8 คือความยิ่งใหญ่สำหรับนักพัฒนา คือปรากฏการณ์สำหรับทุกคน” ออกมาบอกขนาดนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรดีซ่อนอยู่แน่ๆ วันนี้ทางทีมงานจึงจะมาเล่าความสามารถใหม่ที่เป็นจุดเด่นของ iOS 8 ให้ได้เข้าใจกันแบบง่ายๆกันดีกว่า
สำหรับความสามารถและการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆของ iOS 8 นั้นมี หลักๆด้วยกัน 11 อย่าง ดังภาพด้านล่าง ซึ่งจะเกี่ยวกับการใช้งานของเรา 9 อย่าง โดยจะอธิบายกันแบบละเอียดๆให้เข้าใจง่ายๆกันทีละข้อไปเลย
1. Photos (รูปภาพ)
- ความสามารถในการเก็บรูปภาพของ iCloud Photo ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ iPhone, iPad, Mac ให้ใช้ร่วมกันได้หมด สามารถจัดระเบียบรูปภาพ และค้นหารูปภาพที่ถ่ายไว้ตามช่วงเวลา หรือสถานที่ที่ถ่ายได้ และหากเรามีการปรับแต่งรูปภาพ ก็จะมีการอัปโหลดรูปภาพขึ้น iCloud ทันที โดยเครื่องอื่นๆของเราก็จะเห็นเป็นภาพที่ทำการปรับแต่งเรียบร้อยแล้ว และมีข้อดีตรงที่หากเราไม่ต้องการแต่งภาพแล้ว อยากได้ภาพเดิมกลับมา เราสามารถเปลี่ยนกลับได้ตลอดเวลา
- การค้นหาภาพที่ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น สามารถเลือกค้นหาได้ทั้งจากวันเวลาที่ถ่ายรูป สถานที่ หรือชื่ออัลบั้ม ฟีเจอร์นี้น่าจะถูกใจคนที่มีภาพเยอะๆ เพราะค้นหาได้สะดวกมากๆเลยทีเดียว
- การจัดองค์ประกอบและปรับแต่งรูปภาพที่มีการเพิ่มความสามารถใหม่ๆเข้ามา เช่นการหมุนภาพ การปรับแสง สี และการปรับภาพอย่างละเอียด เรียกได้ว่าครบครัน
- มีฟิลเตอร์ที่ออกแบบโดย Apple ให้ได้ใช้งานกัน และยังสามารถดาวน์โหลดฟิลเตอร์จากนักพัฒนาเข้ามาในแอปได้เลย คงจะถูกใจคนที่ชอบแต่งภาพอยู่ไม่น้อย
- สุดท้ายนี้คือโหมดใหม่ล่าสุดของแอปกล้อง ซึ่งก็คือโหมด Time-lapse หรือโหมดวีดีโอเร่งความเร็ว บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันคือโหมดอะไร เอาง่ายคือเป็นโหมดที่เร่วความเร็วของวีดีโอที่เราถ่ายไว้ คล้ายๆกับการกรอวีดีโอเดินหน้า ที่นิยมใช้ในหนังเวลาพระอาทิตย์ขึ้น หรือในเมืองที่รถวิ่ง หรือสามารถติดตามรายละเอียดได้จากที่นี่
2. Message (ข้อความ)
- สามารถส่งข้อความเสียงผ่านทาง iMessage ได้เลยทันที เพียงแค่แตะปุ่มไมโครโฟนค้างไว้เพื่อบันทึกข้อความที่พูด จากนั้นก็แค่ปัดนิ้วขึ้นเพื่อส่งได้เลย เวลาฟังสามารถแตะเพื่อเล่นเสียงเลย หรือยกไอโฟนขึ้นมาแนบหูเพื่อฟังข้อความทางลำโพงสนทนาได้เลย และยังสามารถถ่ายและส่งวีดีโอได้อีกด้วย
- สามารถตั้งกลุ่มการสนทนาใน iMessage ได้ พร้อมทั้งสามารถแชร์ location ให้เพื่อนในกลุ่มสนทนาเห็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน โดยเลือกได้ว่าจะแชร์แค่ 1 ชั่วโมง, จนสิ้นสุดวัน หรือแชร์ตลอดไปก็ได้
- สามารถส่งรูปหรือวีดีโอได้จำนวนมากในครั้งเดียว (จากที่ลองใน beta version สามารถส่งได้ 20 ภาพ) และยังเลือกดู Detail หรือรายละเอียดรูปภาพ หรือแผนที่ในหัวข้อที่คุยกัน
3. Design (การออกแบบ)
- เพิ่มการแจ้งเตือนแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ ซึ่งก็คือการที่เราสามารถตอบกลับข้อความ จัดการอีเมล หรือคำเชิญต่างๆจากแถบ Notification โดยที่ไม่ต้องออกจากแอพที่กำลังใช้งานอยู่ ซึ่งสะดวกในการใช้งานหรือตอบอย่างทันที ซึ่งแอปที่ตอนนี้ใช้ได้จะมี Message, Calendar, Mail, Reminders, Facebook, Twitter หรือในอนาคตหากผู้พัฒนาแอปอื่นๆมีการอัปเดตในส่วนนี้เราก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน
- เพิ่มทางลัดในการโทรออกเบอร์คนพิเศษ หรือเบอร์ที่โทรล่าสุด โดยการกดปุ่มโฮม 2 ครั้ง หรือก็คือการเปิด Multitask ขึ้นมา จะมีแถบรายชื่ออยู่ด้านบน (แนะนำว่าหากต้องการให้ขึ้นรูป ต้องไปบันทึกรูปใน contact ให้เรียบร้อยก่อน) สามารถแตะเพื่อโทรหา ส่งข้อความ หรือ FaceTime ได้เลย
- การจัดการอีเมลที่ง่ายขึ้น และทำได้มากกว่าเดิม ทำให้เราสามารถจัดการอีเมลได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการติดธงให้กับเมลนั้นๆ การทำเครื่องหมายว่าอ่านแล้ว หรือเมื่อพบข้อมูลการจองการยืนยันเที่ยวบิน หรือหมายเลขโทรศัพท์ในอีเมล ก็จะแสดงข้อความเตือนล ซึ่งเพียงแค่แตะที่ข้อความนั้นก็สามารถเพิ่มกิจกรรมลงในปฏิทิน หรือเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ลงในรายชื่อได้เลย
- เพิ่มความสามารถของ Safari ที่มีอยู่ใน iPhone มาอยู่ใน iPad ซึ่งก็คือการแบ่งแท็บมุมมอง และหากเป็นเวปไซต์เดียวกันก็จะมีการจัดกลุ่มให้อยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งแถบด้านข้างสำหรับ iPad ที่เลื่อนออกมาเพื่อดู Bookmark ได้
4. Keyboard
- ได้มีการเพิ่ม Keyboard แบบ QuickType เข้ามา โดยขณะที่เราพิมพ์ระบบจะมีการเดาคำขึ้นมาให้ ซึ่งอ้างอิงจากการสนทนาในอดีตและสไตล์การเขียน และยังปรับใช้คำตามคู่สนทนาของเราด้วย ซึ่งสามารถบันทึกคำนั้นๆได้โดยการแตะที่คำที่มี “__” อยู่ เพื่อให้เครื่องจำคำเพื่อนำไปใช้ในภายหลัง และทีเด็ดคือ สามารถฟังภาษาไทยได้แล้วด้วย โดยเราสามารถใช้การพูดแทนการพิมพ์ได้เลย
- เคยไหมที่บางคนอยากเปลี่ยนสีคีย์บอร์ด หรืออยากใช้คีย์บอร์ดแบบอื่นๆบ้าง ความอยากได้นี้ทาง Apple ได้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานแล้ว คือ สามารถนำคีย์บอร์ดของนักพัฒนาอื่นๆมาใช้ได้แล้ว
5. Family Sharing (การแชร์กันในครอบครัว)
- สมาชิกในครอบครัวสามารถแชร์สิ่งที่ซื้อจาก iTunes, iBooks และ App Store ได้มากถึง 6 คนโดยไม่ต้องใช้บัญชีเดียวกัน แต่ใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันเพื่อจ่ายสิ่งที่สมาชิกในครอบครัวซื้อ และอนุมัติการใช้จ่ายของลูกๆ ได้จากอุปกรณ์ของพ่อแม่
- สามารถแชร์รูปภาพ ปฏิทินของครอบครัว และอื่นๆ อีกมากมายได้ง่ายๆ เพื่อช่วยให้ทุกคนเชื่อมโยงถึงกัน
- แชร์ตำแหน่งที่คุณอยู่กับสมาชิกในครอบครัวได้โดยอัตโนมัติ และยังแสดงตำแหน่งของคนอื่นๆ ได้ด้วย
6. iCloud Drive
เราสามารถเก็บงานนำเสนอ หรือไฟล์เอกสารต่างๆของเราไว้ใน iCloud Drive ซึ่งสามารถเปิดดูได้ทั้งจาก iPhone, iPad, iPod touch, Mac (OS X Yosemite) หรือ PC (Window 7) เพียงแค่เราลากไฟล์ไปวางใน iCloud Drive ซึ่งเราสามารถมองเห็นเอกสารนั้นๆได้จากทุกเครื่องที่เราทำการ log in iCloud ไว้อยู่ ซึ่งหากมีการแก้ไขเอกสารก็จะมีการอัปเดตขึ้น icloud อย่างอัตโนมัติ ซึ่งช่วยในการอำนวยความสะดวกให้เราเวลาทำงานอย่างมาก เนื่องจากจะมีเอกสารเก็บอยู่และอัปเดตตลอดเวลา
7. Health (สุขภาพ)
เนื่องจากปัจจุบันผู้คนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น ทาง Apple จึงทำการออกแอปนี้ขึ้นมา โดยตัวแอปจะแสดงผลข้อมูลสุขภาพและฟิตเนสที่อ่านง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชีพจร แคลอรี่ที่เผาผลาญ ระดับน้ำตาลในเลือด หรือคอเลสเตอรอลที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในที่เดียว และแสดงผลให้ดูเข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังสามารถสร้างการ์ดข้อมูลฉุกเฉินที่มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของ เช่น กรุ๊ปเลือดหรืออาการแพ้ ซึ่งเปิดดูจากหน้าจอล็อคได้ทันที หากมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมา และยังรองรับการทำงานร่วมกับแอปสุขภาพอื่นๆอีกด้วย
8. iPhone, iPad และ Mac เชื่อมต่อในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
- เพียงเรา sign in iCloud เดียวกันในทุกเครื่อง ก็จะสามารถทำให้อุปกรณ์ต่างๆของเราเชื่อมต่อกันตลอดเวลา สามารถใช้ Handoff กับแอพต่างๆ ที่ใช้เป็นประจำได้ เช่น Mail, Safari, Pages, Numbers, Keynote, Maps,ข้อความ, เตือนความจำ, ปฏิทิน และรายชื่อ หรือแอปเพิ่มเติมอื่นๆที่นักพัฒนาได้อัปเดตให้ใช้กัน
- iPad และ Mac รับสายได้ ได้แล้วจริงๆ เพียงแค่ iPhone ใช้ iOS 8 และอยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกันเท่านั้นเอง โดยเมื่อมีสายโทรเข้ามา เครื่องจะแสดงชื่อผู้ที่โทรมา จากนั้นเพียงแค่คลิกหรือปัดนิ้วที่ข้อความแจ้งก็สามารถเลือกรับสาย ไม่สนใจหรือเขียนข้อความสั้นๆ ตอบกลับได้ทันที และถ้าต้องการโทรออกจาก iPad หรือ Mac ก็ทำได้ง่ายพอๆกัน แค่แตะหรือคลิกหมายเลขโทรศัพท์ในรายชื่อ ปฏิทิน หรือ Safari ซึ่งสามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต้องทำการตั้งค่าให้วุ่นวาย
- สามารถรับส่ง SMS และ MMS ได้ทันทีจากใน iPad หรือ Mac และยังสามารถเริ่มส่งข้อความจาก iPad หรือ Mac ได้ด้วย เพียงแค่คลิกที่หมายเลขโทรศัพท์ใน Safari, รายชื่อ หรือปฏิทิน
- Instant Hotspot หากในบริเวณนั้นไม่มี Wi-Fi และ iPhone ของเราอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น iPad หรือ Mac จะสามารถต่อกับฮอตสปอตส่วนตัวของโทรศัพท์ได้ทันที โดยจะเห็นชื่อ iPhone ของคุณอยู่ในรายชื่อเครือข่าย Wi-Fi ใน “Settings” บน iPad และในเมนู Wi-Fi บนเครื่อง Mac ซึ่งหากไม่ได้มีการใช้งานแล้วอุปกรณ์จะทำการตัดการเชื่อมต่อเอง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน
9. Spotlight
เพิ่มความสามารถในการค้นหาของ Spotlight จากเดิมที่สามารถค้นหาได้เพียงข้อมูลในตัวเครื่อง แต่คราวนี้สามารถค้นหาได้จากหลายทางไม่ว่าจะเป็น วิกิพีเดีย, ข่าวสาร, สถานที่ใกล้เคียง, iTunes Store, App Store, iBooks Store หรือเว็บไซต์ต่างๅ
จากความสามารถต่างๆ ของ iOS 8 ที่ได้แนะนำไปข้างต้น เป็นความสามารถที่ทาง Apple ได้ทำออกมาเพื่อให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ซึ่งคิดว่าอาจจะได้ใช้กันเร็วๆนี้ หากท่านใดสงสัยในจุดไหนสามารถโพสถามมาได้เลยน้า และหากจะทำการอัปเดตแนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อน iOS 8 ตอนที่ 1 – แนะนำการเตรียมตัวก่อนอัปเดต iOS 8
ขอขอบคุณ : Apple