MiPow: The Boom & Boom Mini เป็นลำโพง Bluetooth อีกตัวหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่ว่าเป็นลำโพง Bluetooth ธรรมดา ๆ แต่ยังสามารถใช้สนทนาได้อีกด้วย (มีไมค์ในตัว) และเหมือนเดิมสำหรับใครที่มีคำถามสงสัยหรืออยากให้ทดสอบเพิ่มเติม สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ใต้รีวิวนี้หรือติดต่อผู้เขียนรีวิวได้ที่ Twitter
@yugioh2500
MiPow: The Boom & Boom Mini สามารถหาซื้อได้ตาม Power Buy, iStudio, Jaymart, และร้านโทรศัพท์มือถือชั้นนำทั่วไป สำหรับราคา The Boom จะอยู่ที่ 4,490 บาท และ Boom mini จะอยู่ที่ 2,490 บาท หรือดูได้ ที่นี่
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (2)]()
ทำความเข้าใจกันก่อนว่าสินค้าของ MiPow ตัวนี้นั้นมีสองรุ่นด้วยกันคือ The Boom และ Boom Mini ความแตกต่างกันจะอยู่ตรงที่ The Boom สามารถต่อ Stereo-input ได้ด้วย (ใช้แจ็ค 3.5 มม. เสียบ) ส่วน Boom Mini นั้นก็เล็กสมชื่อครับ รองรับ Bluetooth อย่างเดียว
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (3)]()
สำหรับสีก็จะมีให้เลือกดังภาพเลยครับ สำหรับ The Boom และ Boom Mini
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (4)]()
วันนี้ผมพก The Boom และ Boom Mini มานอกสถานที่ครับ McDonald นั่นเอง
ทั้งสองอุปกรณ์เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.0 ทั้งคู่ และต่อไปนี้คือความแตกต่างระหว่า The Boom และ Boom Mini ครับ
- แบตเตอรี่ : 1600 mAh/650 mAh
- ขนาด : 106 x 50 x 92 มม./55.6 x 73 x 55.6 มม.
- น้ำหนัก : 370 กรัม/180 กรัม
- ลำโพง : 3W x 2/3W x 1
- สนทนาต่อเนื่อง : 23 ชั่วโมง/12 ชั่วโมง
- เล่นเพลงต่อเนื่อง : 16 ชั่วโมง/9 ชั่วโมง
- สแตนบายต่อเนื่อง : 95 วัน/45 วัน
สำหรับความแตกต่างอีกนิดนึงก็คือ The Boom สามารถเล่นเพลงผ่านแจ็ค 3.5 มม. ได้โดยตรงครับ ซึ่ง Boom Mini ทำไม่ได้
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (5)]()
ทั้งสองใช้ Bluetooth 4.0 เช่นเดียวกับ iDevice รุ่นใหม่ ๆ ของ Apple ทุกตัว (ประหยัดพลังงานมาก) ส่วนการชาร์จพลังงานของ The Boom และ Boom Mini เป็นแบบ microUSB ครับ (ไม่มีที่ชาร์จแถมมาให้)
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (6)]()
วัสดุทำมาจาก Anodized Aluminum แข็งแรงทนทาน และให้ความสวยงามครับ
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (7)]()
การออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจากวิทยุ Transistor ในสมัยก่อนผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดูยังไงก็ไม่มีเชย
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (8)]()
ด้านล่างจะเป็นยางกันลื่นครับ
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (9)]()
ลักษณะการถือจะต่างกันครับ The Boom จะมีด้ามจับมาให้เลย ส่วน Boom Mini จะเป็นแบบหูหิ้ว
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (10)]()
ทั้งสองมีไฟแสดงสถานะการใช้งาน (สามารถอ่านได้ในคู่มือ)
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (11)]()
ครั้งแรกที่ใช้งานเครื่องคือการปุ่มโทรค้างไวประมาณ 7 วินาที จากนั้นลำโพงจะดังว่า "Pairing" ก็ทำการเปิด Bluetooth กับอุปกรณ์เราครับ ใช้ได้ทั้งมือถือ, แท็บเล็ต, โน๊ตบุ๊ค จับคู่พร้อมกันได้ถึง 2 อุปกรณ์ (Android, BB, Windows Phone ก็ใช้ได้นะ)
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (12)]()
เมื่อทำการเชื่อมต่อแล้วจะขึ้นสัญลักษณ์แสดงแบตเตอรี่ของ The Boom และ Boom Mini (ไม่ต้องลง App เพิ่ม) ซึ่งคุณลักษณะพิเศษแบบนี้เฉพาะกับ iDevice เท่านั้น (แน่นอนว่าต้องส่งให้ Apple เพื่อขอ License และต้องเสียเงินด้วย) เป็นอะไรที่เจ๋งมาก ๆ ครับ
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (13)]()
เมื่อทำการเล่นเพลงไม่ว่าจะเป็นจาก Music, Video หรือ YouTube ก็ตาม จะมีสัญลักษณ์ AirPlay ให้เลือกบน iDevice ครับ เลือกได้ว่าจะใช้ลำโพงจากตัวเครื่องหรือ The Boom และ Boom Mini
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (14)]()
สัญลักษณ์ AirPlay ขึ้นเฉพาะเวลาเราต่อกับ Bluetooth Speaker เท่านั้น
ทดสอบการใช้งานของ The Boom เมื่อเปรียบเทียบกับลำโพงของ iPad 2 ปรากฎว่าต่างกันราวฟ้ากับนรก ลำโพงของ The Boom ดังกว่าเป็น 10 เท่า แค่นั้นยังไม่พอเสียงเบสยังกระแทกได้หนักหน่วงมากครับ!!!
ส่วน Boom Mini พลังเสียงก็ไม่แพ้กัน แต่ตัวนี้จะด้อยกว่า The Boom ตรงที่มีลำโพงแค่ตัวเดียวมิติเสียงอาจจะแคบกว่า แต่เบสก็หนักแน่นไม่แพ้กันครับ (เสียงไม่มินิตามชื่อเลย) ถ้าหากงบไม่จำกัดเลือก The Boom แต่ถ้าอยากประหยัดลงมาหน่อยแนะนำ Boom Mini ครับ พลังก็ไม่แพ้กันเท่าไหร่นักเพียงแต่ไม่สุดเท่านั้นเอง
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (15)]()
The Boom จะมีสายแจ็ค 3.5 มม. สำหรับต่อกับอุปกรณ์อื่นได้ด้วยครับ (คอมพิวเตอร์, MP3 ฯลฯ) แต่ Boom Mini จะไม่มีครับ
![Review-The-Boom-and-Boom-mini (16)]()
เมื่อโทรหรือรับสายสนทนาสามารถสนทนาผ่าน The Boom และ Boom Mini ได้เลย และแน่นอนว่าเวลาสายเข้าจะมีเสียงริงโทนผ่าน The Boom และ Boom Mini เลยครับ สามารถกดบนอุปกรณ์เพื่อรับสายได้เช่นกัน ซึ่งนี่คือจุดเด่นของมันที่ไม่มีใครเหมือน
สรุป : เจ๋งและโดนใจเป็นอย่างมาก สำหรับคอดนตรีซึ่งแน่นอนว่าลำโพงติดเครื่อง iPhone นั้นไม่ตอบสนองความเร้าใจอย่างแน่นอน อีกทั้งความเป็น Bluetooth 4.0 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่มาก ๆ ซึ่งผมเคยอ่านในบทความต่างประเทศว่า Bluetooth 4.0 หากเปิดทิ้งไว้ 1 ปี ใช้พลังงานแค่ถ่าน 1 ก้อนเท่านั้นเอง ดังนั้นราคาไม่แพงเลยสำหรับเทคโนโลยีสุดล้ำแบบนี้ และมันก็เหมือนกับเกิดมาคู่กับ iDevice เช่นเดียวกัน เพราะมันเป็น Bluetooth 4.0 ทั้งคู่นั่นเอง